ชาร์ลส เรนนี แมคอินทอช สถาปนิกที่โลก (เคย) ลืม ตอนที่ 1
ชาร์ลส เรนนี แมคอินทอช สถาปนิกที่โลก(เคย)ลืม
ภาพเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนศิลปะแห่งเมืองกลาสโกว์ ที่มา : www.dezeen.com |
ภาพที่ 1 ชาร์ล เรนนี แมคอินทอช เมื่ออายุ 25 ปี ค.ศ. 1893 ที่มา : www.npg.org.uk |
ย้อนกลับไป 150 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 1868 ชาร์ล เรนนี แมคอินทอช ลูกชายของนายวิลเลียม แมคอินทอช (William Mackintosh) และนางมากาเร็ต เรนนี (Magaret Rennie) ได้ลืมตาดูโลก ณ บ้านเลขที่ 70 ถนนพาร์สัน เมืองกลาสโกว์ สก็อตแลนด์ เมื่อถึงวัยเรียนแมคอินทอชเข้าเรียนที่สถาบันอัลลัน เกล็น (Allan Glen‘s Institiution) โรงเรียนสำหรับลูกหลานชนชั้นนำในยุคนั้น แต่อาจเป็นเพราะแมคอินทอชมีปัญหาในการอ่านและเขียน ซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติแต่กำเนิดที่ทำให้สมองรับรู้ตัวหนังสือต่างจากคนทั่วไป (Dyslexia) หนุ่มน้อยแมคอินทอชในวัย 15 ปีผู้มีพรสวรรค์ด้านวาดภาพมาแต่เด็กจึงตัดสินใจเลิกเรียน แล้วเริ่มก้าวเข้าสู่วิชาชีพสถาปนิกที่สำนักงานสถาปนิกจอห์น ฮัทชิสัน (John Hutchison) ในตำแหน่ง“เด็ก(ขอ)ฝึกงาน”ที่ไม่ได้รับค่าจ้างอยู่ราวห้าปี จนถึงราวปี ค.ศ.1889 แมคอินทอชจึงย้ายไปทำงานเป็น“ช่างเขียนแบบสถาปัตยกรรม”ที่สำนักงานสถาปนิกจอห์น ฮันนีแมนแอนด์เคปปี (John Honeyman & Keppie : JHK) ในช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นนี้ นอกจากการเรียนรู้ในที่ทำงานแล้ว ด้วยความมุ่งมั่นใฝ่ดี แมคอินทอชยังขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมด้วยการเรียนภาคค่ำที่โรงเรียนศิลปะแห่งเมืองกลาสโกว์ควบคู่ไปด้วย และเรียนต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าสิบปี
ฟรานซิส นิวเบอรี (Francis Newbury) ครูใหญ่ของโรงเรียนศิลปะแห่งเมืองกลาสโกว์เห็นแววความสามารถอันโดดเด่นของแมคอินทอชจึงให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ระหว่างเรียนผลงานของเขาได้รับรางวัลมากมาย ในปี 1890 ผลงานประกวดออกแบบศาลาประชาคม (Public Hall : ภาพที่ 2) ของเขาได้รับรางวัลทุนทัศนศึกษาสถาปัตยกรรม (Alexander Thomson Travelling Studentship Award) ผลงานชิ้นนี้แสดงให้เห็นการออกแบบที่เน้นแนวแกนสมมาตร เสกลอาคารแบบยิ่งใหญ่ และการจัดวางส่วนประกอบสถาปัตยกรรมเช่น เสา กรอบประตูหน้าต่าง หน้าจั่ว (Pediment) บัวผนัง (Cornice) อย่างแพรวพราวและมีแบบแผน (Order) ชัดเจน สอดคล้องกับแนวทางที่สอนกันในโรงเรียนศิลปะโบซารส์ในฝรั่งเศส (Ecole des Beaux - Arts) แมคอินทอชคงได้เรียนรู้แนวทางนี้จากจอห์น เจมส์ เบอร์เน็ต (John James Burnet) และจอห์น เคปปี (John Keppie) ครูและเจ้านายของเขาซึ่งเรียนจบมาจากโรงเรียนศิลปะโบซารส์
ภาพที่ 3e |
ภาพที่ 3f |
แบบผลงานศาลาประชาคมและภาพสเกตซ์แสดงให้เห็นว่าแมคอินทอชคงมีความรู้ความเข้าใจแบบแผนสถาปัตยกรรมคลาสสิคเป็นอย่างดี นอกจากภาพสเกตซ์สถาปัตยกรรมคลาสสิคซึ่งเป็นผลงานตามเงื่อนไขของการรับทุนแล้ว ในสมุดภาพยังมีภาพสเกตซ์สถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตในท้องถิ่นต่างๆด้วย (ภาพที่ 3d,e,f) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแมคอินทอชประทับใจและสนใจสถาปัตยกรรมท้องถิ่นที่ดูผ่อนคลายและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ความประทับใจนี้จะมีอิทธิพลและเป็นแรงผลักดันสำคัญในการออกแบบของแมคอินทอชในเวลาต่อมา
ที่สำนักงานสถาปนิกจอห์น ฮันนีแมน แอนด์เคปปี แมคอินทอชทำงานตำแหน่งช่างเขียนแบบสถาปัตยกรรมอยู่ราวสี่ปี จนถึงปี 1893 จึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็น“สถาปนิกผู้ช่วย” นับจากนี้แมคอินทอชคงมีส่วนร่วมในการออกแบบโครงการต่างๆมากขึ้น ในช่วงปี 1894-1897 สำนักงานสถาปนิกจอห์น ฮันนีแมน แอนด์เคปปี ได้รับงานโครงการขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ในขณะที่เจ้านายของเขากำลังวุ่นอยู่กับโครงการสำคัญๆ งานบางส่วนของโครงการสำคัญและโครงการรองอื่นๆก็คงตกอยู่ในมือของสถาปนิกผู้ช่วยอย่างแมคอินทอช ซึ่งเป็นโอกาสให้เขาทดลองออกแบบตามแนวทางที่สนใจ อย่างไรก็ดีแมคอินทอชก็ยังมีบทบาทเป็นเพียงผู้ทำงานเบื้องหลัง ไม่มีชื่อของเขาในฐานะสถาปนิกผู้ออกแบบ แม้จะคับข้องใจไม่น้อย แต่เขาก็ยังคงทำงานด้วยความมุ่งมั่นต่อไป
ตั้งแต่ราวกลางศตวรรษที่ 19 การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการปฏิวัติทางการเมืองส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ไปทั่วทวีปยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษที่การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นก่อนความลังเลสงสัยวิตกกังวลต่อความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ กระตุ้นให้ผู้คนแสร้งลืมปัจจุบันแล้วหวนกลับไปหาอดีตที่พอจะเห็นภาพและเข้าใจได้ชัดกว่า ภาวะจิตใจของผู้คนสะท้อนให้เห็นในงานสถาปัตกรรมที่หวนกลับไปสู่รูปแบบต่างๆจากอดีต (Eclecticism) ซึ่งเป็นกระแสหลักทางสถาปัตกรรมในช่วงชีวิตของแมคอินทอช ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีใหม่ๆก็เกิดขึ้นอย่างมากมายและรวดเร็ว เห็นได้จากการก่อสร้างหอไอเฟลซึ่งออกแบบโดยกุสตาฟ ไอเฟล ในปี ค.ศ.1889 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า งานวิศวกรรมโครงสร้างได้พัฒนาก้าวล้ำหน้าไปไกลกว่างานสถาปัตยกรรมที่ยังติดอยู่ในวังวนของรูปแบ
การหยิบยืมรูปแบบและส่วนประกอบสถาปัตยกรรมจากอดีตมาใช้ในการออกแบบโดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย วิถีชีวิต และเทคโนโลยีอย่างใหม่ รูปแบบและส่วนประกอบเหล่านั้นก็อาจเป็นเพียงฉากที่อำพรางความจริงไว้เบื้องหลัง หรือถ้านำมาใช้จนเกินควรก็อาจเป็นเพียงเครื่องประดับที่รุ่มร่ามรุงรัง ในการบรรยายเมื่อปี 1893 แมคอินทอชได้แสดงจุดยืนที่ทวนกระแสว่า
โครงการส่วนต่อขยายอาคารสำนักงานกลาสโกว์เฮอรัลด์
(Glasgow
Herald) : 1894
จากแบบร่างฝีมือแมคอินทอชที่ยังหลงเหลือมาถึงทุกวันนี้ (ภาพที่ 4a,4b) แสดงให้เห็นว่าเขาคงมีส่วนร่วมอย่างมากในการออกแบบอาคารสำนักงานกลาสโกว์เฮอรัลด์ ด้านถนนมิทเชล (Mitchell) ซึ่งมีหอมุมอาคารที่โดดเด่น (ภาพที่ 4c และภาพที่ 5)
ภาพที่ 4a |
ภาพที่ 4b |
ภาพที่ 4c ภาพที่ 4a-c หอมุมอาคารสำนักงานกลาสโกว์ เฮอรัลด์ ด้านถนนมิทเชล แบบร่างโดยแมคอินทอข และภาพถ่าย ที่มา : www.mackintosh-architecture.gla.ac.uk |
ภาพที่ 5 รูปด้านอาคารกลาสโกว์เฮอรัลด์ ด้านถนนมิทเชล ที่มา : www.mackintosh-architecture.gla.ac.uk |
ภาพที่ 6 อาคารกลาสโกว์เฮอรัลด์ ด้านถนนบิวแคแนน ที่มา : www.mackintosh-architecture.gla.ac.uk |
ความประทับใจในสถาปัตยกรรมท้องถิ่นคงมีอิทธิพลต่อการออกแบบของแมคอินทอชมาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เห็นได้จากรูปด้านอาคารสำนักงานกลาสโกว์เฮอรัลด์ ด้านถนนมิทเชล ที่มีกลิ่นอายของปราสาทและบ้านหอคอย (Castle,Tower House) ของสก็อตแลนด์ในอดีตเช่น ปราสาทเมย์โบล์ว เมืองแอร์ชาร์ย (Maybole Castle , Ayrshire : ภาพที่ 7) ที่แมคอินทอชเคยเดินทางไปสเกตซ์ศึกษามาก่อน และบ้านหอคอยทราแควร์ (Traquair House : ภาพที่ 8) บ้านหอคอยที่เก่าแก่ที่สุดในสก็อตแลนด์
ภาพที่ 7 ปราสามเมย์โบล์ว เมืองแอร์ชาร์ย ที่มา : www.maybole.org |
ภาพที่ 8 บ้านหอคอยทราแควร์ ที่มา : www.undiscoveredscotlamd.co.uk |
สโมสรอนุรักษ์นิยมแห่งเฮเลนส์เบอรห์ (Helensburgh Conservative Club) : 1894
กลวิธีต่างๆที่ใช้ในการออกแบบอาคารสำนักงานกลาสโกว์เฮอรัลด์ แมคอินทอชยังคงนำมาใช้ในการออกแบบสโมสรอนุรักษ์นิยมแห่งเฮเลนส์เบอรห์ด้วยได้แก่ การไม่เน้นแนวแกนสมมาตร การประกอบเข้าด้วยกันของส่วนย่อยอย่างแนบสนิทจนแยกจากกันไม่ได้ การจัดวางลวดลายประดับอาคารและส่วนประกอบสถาปัตยกรรมอย่างพอเหมาะเท่าที่จำเป็นด้วยแบบแผนที่ไม่เคร่งครัดและเหนือความคาดหมาย และความสมดุลย์อย่างมีชั้นเชิง
ผนังด้านหน้าสโมสรอนุรักษ์นิยมแห่งเฮเลนส์เบอรห์มีลักษณะพิเศษคือ ระนาบที่ไม่แบนราบ แต่จะมีมุขตื้นๆสองชุดที่ดูพริ้วไหวคล้ายค่อยๆนูนออกและเว้ากลับสู่ระนาบฐาน ส่วนยอดของมุขทั้งสองจะยื่นขึ้นไปเป็นผนังลอยตัวและเชื่อมเป็นระนาบเดียวกัน โดยมีซุ้มโค้งฉลุลายเป็นตัวผสาน มุขสองชุดนี้มีสัดส่วนแตกต่างกัน มุขด้านซ้ายจะกว้างและสูงกว่า แต่รูปแบบ สัดส่วน แนวระดับ ส่วนประกอบและการประดับช่องหน้าต่างของมุขทั้งสองจะล้อรับกัน มุขด้านขวาที่สั้นกว่าและตั้งอยู่ตอนบน ทำให้ระนาบฐานไม่ถูกตัดขาดออกเป็น 3 ส่วน แต่จะไหลต่อเนื่องถึงกันตลอด ตอนล่างของระนาบฐานจะถูกเจาะเป็นช่องเปิดกรุกระจกขนาดใหญ่ ระนาบผนังหินที่หนักจึงดูเบาและลอยตัว ทำให้เกิดความรู้สึกทั้งน่าสนใจและน่าสงสัยไปพร้อมๆกัน
ภาพที่ 9a |
ภาพที่ 9b ภาพที่ 9a-b สโมสรอนุรักษ์นิยมแห่งเฮเลนส์เบอรห์ : รูปด้านและภาพถ่าย ที่มา : www.mackintosh-architecture.gla.ac.uk |
ภาพที่ 10 สโมสรอนุรักษ์นิยมแห่งเฮเลนส์เบอรห์ : รูปด้านและภาพถ่าย ที่มา : www.mackintosh-architecture.gla.ac.uk |
ภาพที่ 11 ผนังและมุขยื่น ปราสาทเมย์โบล์ว ที่มา : www.1066.co.nz |
Comments
Post a Comment